อย่านิ่งเฉย ‘”ชาปลายมือปลายเท้า” เสี่ยงโรคปลายประสาทอักเสบ!!
เดี๋ยวเป็นเหน็บ เดี๋ยวก็ชาปลายมือปลายเท้า.. ไหนใครเป็นแบบนี้อย่าได้นิ่งนอนใจไป เพราะคุณอาจกำลังเสี่ยงเป็นโรคปลายประสาทอักเสบอยู่ก็เป็นได้ โรคปลายประสาทอักเสบ คืออะไร? คือภาวะที่เส้นประสาทซึ่งทำหน้าที่รับคำสั่งจากสมองและไขสันหลังเพื่อส่งต่อไปยังกล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ นั้นเสื่อมลงหรือเกิดความเสียหาย ทำให้เกิดการบาดเจ็บ ติดเชื้อ เกิดอาการชา ปวด หรือเจ็บคล้ายไฟช็อต ถูกเข็มแทง แสบร้อน หรือรู้สึกคล้ายมีแมลงไต่ หรืออาจถึงขั้นสูญเสียการควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้กล้ามเนื้อลีบและอ่อนแรงได้ โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ, ผู้ที่ขาดวิตามินบางชนิด, ผู้ที่ได้รับสารพิษ, การทำกิจกรรมหรือมีพฤติกรรมที่อยู่ในท่าที่จำกัด, เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคมะเร็ง หรือโรคพิษสุราเรื้อรัง รวมไปถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอ การทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ การใช้ยาบางชนิด หรือแม้แต่พันธุกรรมและอุบัติเหตุ ซึ่งจะพบได้บ่อยในผู้สูงวัยและคนวัยทำงานที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป สัญญาณเตือนโรคปลายประสาทอักเสบ โรคปลายประสาทอักเสบมีวิธีรักษา ดูแล และป้องกันอย่างไร? หากคุณมีอาการที่เข้าข่ายโรคปลายประสาทอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างทันท่วงทีและลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน ยิ่งรักษาเร็วเท่าไรก็ยิ่งมีโอกาสหายขาดได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น โดยแพทย์อาจให้การรักษาด้วยการฉีดยาบรรเทาอาการปวด ทานยารักษาต่อเนื่อง ทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูกล้ามเนื้อ การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า หรือรับการผ่าตัดหากมีการกดทับที่เส้นประสาท เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท พร้อมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อดูแลสุขภาพและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรง งดดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดอยู่เสมอ ที่สำคัญ.. ควรหมั่นตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอด้วย
ปวดเก่ง!! ต้อง “Shockwave” ทางเลือกใหม่หายได้ไม่พึ่งยา ไม่ต้องผ่า
ไหนใครปวดเก่ง แต่กลัวการผ่าตัด เบื่อกินยาเป็นกำมือ ยกมือขึ้น ‘ตัวตึงสายปวดเซมาทางนี้’ จะปวดหลัง ปวดสะโพก ปวดคอ-บ่า-ไหล่ ออฟฟิศซินโดรม จะลุกก็โอ๊ย จะนั่งก็โอ๊ย… ไม่ต้องเครียดหรือกังวลไป ปวดเก่ง ปวดมานานแค่ไหนก็รักษาหายได้ด้วย “Shockwave” หายจริง ไม่ต้องผ่าตัดให้เจ็บตัว ไม่ต้องพึ่งยาอีกต่อไป เพราะ “Shockwave” หรือที่เรียกว่า “คลื่นกระแทกประสิทธิภาพสูง” เป็นนวัตกรรมใหม่ของการรักษาและบรรเทาอาการปวดที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด กระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ จึงช่วยลดอาการอักเสบ อาการปวดได้เห็นผลชัดเจนทันทีหลังการรักษา หากมีอาการไม่รุนแรงหรือเพิ่งเริ่มมีอาการ โดยเครื่อง Shockwave จะส่งคลื่นกระแทกเข้าไปยังจุดที่มีอาการปวด และสามารถลงได้ลึกและตรงจุด เหมาะสำหรับคนที่มีอาการปวดเรื้อรัง ปวดมานานไม่หายสักที หรือคนที่เคยรับการรักษาหรือทานยามาแล้วหลายครั้งแต่ไม่ดีขึ้น เช่น ปวดหลัง ปวดสะโพกร้าวลงขา ปวดรองช้ำ ปวดเข่า ปวดคอบ่าไหล่ เอ็นอักเสบ หรือออฟฟิศซินโดรม เป็นต้น ใครที่มีอาการปวดเหล่านี้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องทานยาเป็นกำมือให้ทำร้ายไต และไม่ต้องผ่าตัดให้เจ็บตัวอีกด้วย แถมหลังรักษาจะรู้สึกได้ทันทีว่าอาการปวดลดลงถึง 50-60% หรือในบางรายที่มีอาการปวดไม่มากก็อาจหายปวดได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษา สำหรับจำนวนครั้งในการรักษาและระยะเห็นผลจะขึ้นอยู่กับอาการปวดว่ามีความรุนแรงมากน้อยระดับใดและเพิ่งมีอาการปวดไม่นานหรือเป็นเรื้อรังมานานแล้ว โดยระยะห่างการรักษาในแต่ละครั้งควรเว้นระยะสัก 1-2 สัปดาห์เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมเนื้อเยื่อนั่นเอง จะปวดหนักแค่ไหนก็รักษาให้หายขาดได้ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะที่คลินิกกระดูกและข้อหมอพันแสงมีบริการให้การรักษาอาการปวดเหล่านี้ด้วยเครื่อง Shockwave โดยทีมแพทย์ พยาบาล และนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญในการใช้เครื่อง Shockwave โดยเฉพาะ อีกทั้งเราเลือกใช้เครื่อง Shockwave ที่ผ่านการรับรองจากสวิสเซอร์แลนด์ จึงมั่นใจในมาตรฐานและความปลอดภัยได้อย่างแน่นอน ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถาม/ทำนัดได้ที่ โทร. 098 8989 282 , 098 9796 906Line id : @dr.punsang (มี @ ด้วยค่ะ)หรือจิ้มลิ้งค์นี้ 👉 https://lin.ee/euZ5Y43
ทำความรู้จัก “โรคข้อเข่าเสื่อม” ปวดได้ก็หายได้
“กรอบแกรบ.. ก๊อบแก๊บ..” เสียงหัวเข่าลั่นแถมข้อเข่าฝืด ปวดเข่าเจ็บแปลบจนเดินไม่ไหว จะลุกจะนั่งจะเดินก็เจ็บปวดทรมาน สัญญาณเตือนข้อเข่าเสื่อม โรคข้อเข่าเสื่อมไม่ใช่โรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีเท่านั้น แต่กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานทุกเพศทุกวัยก็เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมกันไม่น้อย และถึงแม้ว่าโรคข้อเข่าเสื่อมจะไม่ใช่โรคร้ายแรงที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะโรคข้อเข่าเสื่อมรักษาและช่วยชะลอข้อเข่าไม่ให้เสื่อมเร็วได้ หากดูแลรักษาข้อเข่าอย่างถูกวิธี ทำให้ข้อเข่าสุขภาพดีอยู่กับเราไปยาวนาน โรคข้อเข่าเสื่อม คืออะไร เกิดได้อย่างไร? คืออาการอักเสบของข้อต่อที่เกิดจากการใช้งานข้อเข่ามากเกินไป รวมไปถึงอายุที่มากขึ้น น้ำหนักตัวมาก กรรมพันธุ์ โรคประจำตัว หรือแม้แต่การประสบอุบัติเหตุจนกระดูกอ่อนข้อเข่าซึ่งมีหน้าที่ป้องกันและรับแรงกระแทกระหว่างข้อเข่าถูกทำลายและสึกกร่อน ทำให้กระดูกที่อยู่ใต้กระดูกอ่อนเสียดสีกันเองจนแสดงออกมาเป็นอาการปวดเจ็บเข่านั่นเอง อาการแบบไหนเข้าข่ายเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม? มีอาการปวดเข่าเวลาก้าวเดิน ขึ้นลงบันได นั่ง ไปจนถึงมีอาการเสียวในหัวเข่า เข่าทรุด หรือเจ็บเสียว ปวดตื้อตามแนวเข่ามากขึ้นหรือเท่าเดิมเป็นระยะๆ ในบางรายอาจเคลื่อนไหวเข่าได้ลำบาก มีอาการข้อตึงข้อติด เจ็บเมื่อกดบริเวณข้อเข่า มีเสียงดังมาจากข้อเข่า เมื่อโรคลุกลามมากขึ้นจะยิ่งปวดมากขึ้น มีอาการเข่าบวม ขาผิดรูป เดินไม่ได้จนต้องมาพบแพทย์เพื่อดูดระบายน้ำในข้อเข่า และฉีดยาบรรเทาอาการปวดลดการอักเสบตามสมควร เป็นข้อเข่าเสื่อมต้องดูแลรักษาอย่างไร? สำหรับการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมสามารถรักษาแบบไม่ใช้ยาได้ในกรณีที่มีอาการเพียงเล็กน้อยหรือเพิ่งเริ่มเป็นไม่นานด้วยการเรียนรู้การใช้งานข้อเข่าอย่างถูกต้องผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดน้ำหนัก ทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายบริหารข้อเข่าและกล้ามเนื้อต้นขาอย่างสม่ำเสมอ หากอาการยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยความรุนแรงว่าข้อเข่าเสื่อมมากน้อยเพียงใด ซึ่งแพทย์จะพิจารณาแนวทางการรักษาดังต่อไปนี้ 1. ให้ทานยาบรรเทาอาการปวดหรือลดการอักเสบ ทานยารักษาข้อเข่าเสื่อม ฉีดน้ำหล่อลื่นในข้อเข่า กรณีมีความเสื่อมระดับน้อยถึงปานกลาง 2. ฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่าเพื่อลดการเสียดสียามเคลื่อนไหว ช่วยให้อาการเจ็บปวดขัดในข้อทุเลาลงและช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างน้ำในข้อตามธรรมชาติ ช่วยชะลอการสึกและเสื่อม ทั้งยังช่วยซ่อมแซมกระดูกอ่อน ผิวข้อ เป็นการช่วยยืดระยะเวลาเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อออกไปได้อีกด้วย 3. ฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet Rich Plasma) เพื่อเร่งกระบวนการซ่อมแซมร่างกายตามธรรมชาติ ลดอาการปวด เพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวของข้อเข่า 4. ใช้เครื่องมือกายภาพบำบัดอย่าง “คลื่นกระแทกประสิทธิภาพสูง” (Shockwave) หรือ “เครื่องเลเซอร์กำลังสูง” (High Power Laser) ควบคู่ไปด้วยเพื่อรักษาอาการปวด ลดอาการข้อเข่าอักเสบ และวิธีรักษาสุดท้าย หากการรักษาด้วยวิธีต่างๆไม่ได้ผล คือ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นได้ก็หายได้ แถมยังมีแนวทางการรักษาหลากหลายตามระดับความรุนแรงของการดำเนินโรค ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องผ่าตัด อีกทั้งการผ่าตัดถือเป็นทางเลือกอันดับท้ายสุดของการรักษา ดังนั้น ผู้ป่วยและญาติหมดกังวลว่าจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดอย่างเดียวเท่านั้นไปได้เลย สำหรับใครที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือมีสงสัยว่าตัวเองหรือคนข้างกายเป็นโรคนี้หรือไม่ สามารถเข้ามารับการตรวจวินิจฉัย รับคำแนะนำ และรักษากับแพทย์และนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ คลินิกกระดูกและข้อหมอพันแสงได้ทุกวัน สอบถามหรือติดต่อนัดหมาย โทร. 098 8989 282
อาการปวด-อักเสบ-บวม-ชา รักษาได้ด้วยเครื่องเลเซอร์กำลังสูง (High Power Laser)
จะทนปวดอยู่ทำไม นวัตกรรมใหม่รักษาได้ หรือ “High Power Laser” หรือ “เครื่องเลเซอร์กำลังสูง” ให้การรักษาลงลึกถึงระดับเส้นประสาท รักษาครั้งเดียวรู้เรื่อง หมดปัญหาทนปวด ทนเจ็บจากอาการอักเสบ บวม หรือบาดเจ็บเฉียบพลันของกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ กระดูก ข้อต่อ หรือแม้แต่เส้นเอ็น อาการทั้งหมดนี้รักษาและบรรเทาได้ด้วย “เครื่องเลเซอร์กำลังสูง” หรือ “High Power Laser” และก่อนจะเข้ารับการรักษาด้วยเทคโนโลยีนี้ก็ควรทราบข้อมูลให้ครบถ้วน วันนี้คลินิกกระดูกและข้อหมอพันแสงพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเครื่องนี้กันสักหน่อยว่าคืออะไร ใช้รักษาอาการใดได้บ้าง มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน และมีข้อจำกัดอย่างไรบ้าง High Power Laser คืออะไร? “High Power Laser” (HPL) คือ เครื่องเลเซอร์กำลังสูงเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ในการรักษาอาการเจ็บปวดต่างๆ ซึ่งเป็นแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นแบบเดี่ยวและไม่กระจายออก โดยมีความยาวคลื่น 980-1064 nm ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการปวดจากโรคทางกระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นประสาทต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและตรงจุด เช่น รักษากล้ามเนื้ออักเสบ อาการปวดของโรคออฟฟิศซินโดรม ปวดเอว เอ็นอักเสบ อาการปวดจากกระดูกกดทับเส้นประสาท ผังผืดกล้ามเนื้อ ข้อเสื่อม นิ้วล็อก ข้ออักเสบ เป็นต้น โดยเลเซอร์กำลังสูงสามารถทะลุผ่านผิวหนังลงลึกสู่เนื้อเยื่อตำแหน่งของโรคได้ลึกถึง 5-12 เซนติเมตร และลงลึกได้ถึงระดับเส้นประสาทเลยทีเดียว ความน่าสนใจของเทคโนโลยีนี้คือ เลเซอร์กำลังสูงนี้ไม่ก่อให้เกิดความร้อนที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อจนถึงขีดอันตราย และในทางตรงกันข้าม.. กำลังที่แรงของเลเซอร์นี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของเนื้อเยื่อแบบทันทีทันใดและแบบระยะยาว จึงทำให้ลดอาการปวดได้ในทันทีนั่นเอง High Power Laser (HPL) ช่วยบรรเทาและรักษาอาการเจ็บปวดได้อย่างไร? เมื่อยิงแสงเลเซอร์กำลังสูงไปที่ผิวหนัง เลเซอร์จะตรงเข้าสู่ผิวหนังไปยังตำแหน่งที่มีอาการเพื่อกระตุ้นชั้นเนื้อเยื่อและปลายประสาท ทำให้อาการปวด บวม และอักเสบลดลงในทันที และเข้าไปเร่งกระบวนการอักเสบของเนื้อเยื่อ ทำให้เซลล์เนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเองอย่างรวดเร็วจึงฟื้นตัวได้ไวขึ้น และยังทำให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดนำออกซิเจนมาเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้มากขึ้น จึงช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น เร่งการกำจัดของเสีย อีกทั้งยังช่วยลดอาการตึง การอักเสบ ลดบวม ลดอาการชา และคลายกล้ามเนื้อได้อีกด้วย High Power Laser รักษาอาการใดได้บ้าง บรรเทาอาการปวดในระยะเฉียบพลันได้ดี ช่วยลดอาการปวดและชาที่เกิดจากเส้นประสาท หรือการกดทับเส้นประสาท ลดบวมจากการอักเสบ ลดอาการปวดตึงและการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ ข้อเข่าเสื่อม ข้ออักเสบ รูมาตอยด์ และเนื้อเยื่อต่างๆ รวมทั้งอาการมือชา นอกจากนี้ยังใช้ในการสมานแผลหลังการผ่าตัดให้หายเร็วขึ้น เพิ่มการไหลเวียนเลือด และช่วยเร่งการซ่อมแซมเส้นประสาทอีกด้วย ทั้งยังสามารถรักษาได้ตั้งแต่ระยะเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน ไปจนถึงการอักเสบเรื้อรัง ที่สำคัญ..หากยิ่งรักษาได้เร็วเท่าไร ประสิทธิภาพการรักษาก็ยิ่งมากเท่านั้น การรักษาด้วยเลเซอร์กำลังสูง (HPL) เจ็บหรือไม่? ขณะทำการรักษา จะรู้สึกอุ่นๆ ผ่อนคลายสบายๆ ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บใดๆ เพราะเลเซอร์กำลังสูงมีความปลอดภัยสูงมาก ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อนใดๆ ต่างจากการรักษาอาการปวด หรืออักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบางวิธีที่จะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการเจ็บจากการรักษา เช่น การฝังเข็ม หรือการฉีดยา เป็นต้น ใช้เวลารักษานานไหม? และต้องรักษากี่ครั้งถึงจะเห็นผล? ในการรักษาแต่ละครั้งจะใช้เวลารักษาประมาณ 5-15 นาทีต่อ 1 จุด ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษาว่ามีอาการรุนแรงมากน้อยเพียงใด โดยต้องรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 2-5 ครั้งในคนไข้ที่มีอาการปวดไม่มาก แต่หากมีอาการรุนแรง หรือเรื้อรังจะต้องรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 5-10 ครั้งขึ้นไป โดยหลังทำการรักษาเสร็จแล้วคนไข้จะรู้สึกได้ว่าอาการปวดลดลงทันทีถึง 40-50% โดยเฉพาะอาการปวดแบบเฉียบพลันจะเห็นผลชัดเจนที่สุด หรือในคนไข้บางรายอาจต้องใช้เลเซอร์กำลังสูงรักษาไปพร้อมกับเครื่องมือกายภาพบำบัดอื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ข้อควรระวังมีอะไรบ้าง? ต้องระวังไม่ให้เลเซอร์เข้าตาโดยตรง เพราะจะทำลายจอประสาทตาได้ ขณะทำการรักษาจึงจำเป็นต้องใส่แว่นกันแสงตลอดเวลา และไม่ควรทำการรักษานี้หากมีไข้หรือเป็นโรคมะเร็ง เนื้องอก บริเวณที่มีเลือดออก บริเวณต่อมไร้ท่อ หรือติดเชื้อ ผู้ที่มีอาการปวด ชา บวม อักเสบดังกล่าว หากต้องการเข้ารับการรักษาด้วย เลเซอร์กำลังสูง (HPL) แนะนำให้ปรึกษาและรับการรักษาจากนักกายภาพผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเท่านั้น เพื่อการรักษาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ คลินิกกระดูกและข้อหมอพันแสง เรามีทีมแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญพร้อมดูแลให้คำแนะนำและให้การรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ยินดีให้คำปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ติดต่อสอบถามได้ที่ https://www.facebook.com/profile.php?id=100086391431685โทร. 098 8989 282 , 098 9796 906Line id : @dr.punsang (มี @ ด้วยค่ะ)หรือจิ้มลิ้งค์นี้ 👉 https://lin.ee/euZ5Y43
ปวดกล้ามเนื้อ/เส้นเอ็นเรื้อรัง หายได้ง่ายๆ แค่ “กายภาพ”
ปวดก็ว่าทรมานมากแล้ว แต่มันปวดใจมากกว่าที่รักษากี่รอบกี่แบบก็ไม่หายสักที หลายๆ คนอาจกำลังประสบกับปัญหาอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดเส้นเอ็นชนิดเรื้อรัง รักษามาหลายที่หลายรูปแบบแล้วก็ยังไม่หายขาดสักที จนเริ่มท้อใจ หมดกำลังใจที่จะรักษา ..อย่าเพิ่งรีบด่วนถอดใจกับการรักษาว่าไม่มีทางหายได้ เพราะด้วยการแพทย์และเทคโนโลยีที่พัฒนาก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ยังมีวิธีรักษาอาการปวดเหล่านี้ให้หายได้ไม่ยากอีกต่อไป นั่นก็คือวิธี “กายภาพบำบัด” ใจเย็นก่อน… กายภาพบำบัดที่ว่านี้ไม่ใช่การกายภาพบำบัดในภาพจำของคุณที่รู้จักหรือเคยทำมาก่อนแบบที่ผ่านๆ มาแน่นอน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว.. หากพูดถึงการกายภาพบำบัด ภาพจำของเรามักจะนึกถึงการออกกำลังกล้ามเนื้อ ยืดเหยียดยืดเส้นต่างๆ แต่กายภาพที่ใช้ในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อและปวดเส้นเอ็นเรื้อรังไม่ได้มีแค่การออกกำลังอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจเท่านั้น กายภาพบำบัดที่จะพูดต่อไปนี้คือ “การใช้คลื่นกระแทก” หรือที่เรียกว่า “Shockwave” นั่นเอง “คลื่นกระแทก” หรือ “Shockwave” เป็นการรักษาอาการเจ็บปวดเรื้อรังด้วยการใช้เครื่องมือส่งคลื่นกระแทกเข้าไปยังบริเวณที่มีอาการปวด เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายบริเวณกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นนั้นเกิดการบาดเจ็บขึ้นใหม่ หลังจากนั้นร่างกายก็จะซ่อมแซมเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ ปริมาณสารสื่อประสาทที่ส่งสัญญาณปวดลดลงและกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารลดปวด จึงทำให้อาการปวดลดลงเกือบ 50% ในทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษาในคนไข้ที่มีอาการไม่รุนแรงมากหรือเพิ่งเริ่มมีอาการ โดยก่อนการรักษาจะต้องหาจุดที่ปวด ทาเจลบริเวณที่จะทำการรักษา แล้วใช้หัวเครื่องกดคลึงเบาๆ ลงไปตรงจุดที่ปวด ซึ่งจะใช้จำนวนช็อตในการรักษามากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับจุดที่ปวด ความรุนแรงของอาการปวด และสภาพร่างกายความพร้อมของคนไข้ Shockwave จึงเหมาะที่จะใช้รักษาอาการปวดอักเสบเรื้อรังของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น บริเวณต่างๆ เช่น ปวดหลัง ปวดคอ-บ่า-ไหล่ ปวดสะโพกร้าวลงขา ปวดเอ็นร้อยหวาย ปวดฝ่าเท้ารองช้ำ ปวดเข่า ปวดข้อศอก ปวดพังผืด และอาการของโรคออฟฟิศซินโดรม เป็นต้น ทำ Shockwave เจ็บไหม? ระหว่างการรักษาจะมีเสียงดีดกระแทกของตัวเครื่อง คนไข้จะรู้สึกเจ็บปวดตุบๆ แน่นๆ แต่เจ็บในระดับที่ทนได้บริเวณที่ทำการรักษา โดยนักกายภาพจะสอบถามคนไข้เป็นระยะว่าเครื่องกระแทกแรงและเจ็บเกินไปไหม ทนไหวหรือไม่ หากคนไข้รู้สึกเจ็บหรือเบาเกินไปก็สามารถปรับลด-เพิ่มระดับของกระแสคลื่นกระแทกได้ตามความเหมาะสม ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่มักจะชอบความรู้สึกขณะรักษา เพราะรู้สึกถึงการกระแทกตรงจุดที่ปวดและรู้สึกผ่อนคลายจากอาการปวดที่ลดลงทันที โดยจะใช้เวลาในการรักษาในแต่ละบริเวณไม่เกิน 3-5 นาที หลังการรักษาจะมีอาการบวมแดงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย และอาจรู้สึกเมื่อยๆ ปวดตื้อๆ บริเวณที่ทำได้ แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะอาการเหล่านี้จะหายได้เองภายใน 3-5 วัน ก่อนทำ Shockwave ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? หลังทำ Shockwave ต้องดูแลตัวเองอย่างไร? ต้องทำบ่อยแค่ไหนถึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุดและหายขาดได้? เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด ควรทำ Shockwave ต่อเนื่องอย่างน้อย 3-6 ครั้งหรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการปวด โดยการรักษาในแต่ละครั้งควรเว้นระยะห่างประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาซ่อมแซมบริเวณที่ทำการรักษา ควบคู่กับการยืดกล้ามเนื้อ บริหารร่างกาย และหลังจากอาการปวดดีขึ้นหรือหายแล้ว ควรหมั่นยืดเหยียดกล้ามเนื้อและออกกำลังกายในท่าบริหารต่างๆ ตามที่นักกายภาพแนะนำอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ อาการปวดก็จะไม่กลับมากวนใจอีกเลย ใครและบริเวณใดบ้างที่ไม่ควรทำ Shockwave? ใครที่เคยรักษามาหลายที่หลากวิธีแล้วไม่หายขาดสักที Shockwave อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดีกว่าที่เคย และหากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องในปริมาณช็อตที่เหมาะสมและรักษาอย่างต่อเนื่องโดยนักกายภาพที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ก็สามารถหายขาดจากอาการปวดเรื้อรังได้ไม่ยาก ไม่ใช่เรื่องขายฝันอีกต่อไป ผู้สนใจเข้ารับการรักษาด้วย Shockwave หรือต้องการปรึกษานักกายภาพผู้เชี่ยวชาญ คลินิกกระดูกและข้อหมอพันแสง ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ https://www.facebook.com/profile.php?id=100086391431685โทร. 098 8989 282 , 098 9796 906Line id : @dr.punsang (มี @ ด้วยค่ะ)หรือจิ้มลิ้งค์นี้ 👉 https://lin.ee/euZ5Y43
อย่าชะล่าใจ ‘ปวดหลังร้าวลงขา’ เสี่ยง ‘หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท’
วัยเก๋า วัยทำงาน และผู้ที่ใช้ร่างกายหนักหรือผิดท่าทาง หากมีอาการปวดหลังร้าวลงขา อย่านิ่งนอนใจ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนความเสี่ยงโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท หากปล่อยไว้อาจรุนแรงมากจนเดินไม่ได้และยากเกินแก้ไข “โรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท” เป็นโรคที่เกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังที่ช่วยรองรับแรงกดกระแทกจากกระดูกสันหลังนั้นเสื่อมสภาพ เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อบุหมอนรองกระดูก ทำให้ความยืดหยุ่นลดลงและปริ้นไปกดทับเส้นประสาทที่อยู่ในโพรงกระดูกสันหลังจนแสดงออกมาเป็นอาการปวดหลังและร้าวลงสะโพกลงขานั่นเอง โดยเฉพาะหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนเอวที่มักจะพบการกดทับเส้นประสาทบ่อยกว่าส่วนอื่นๆ และเมื่อเป็นโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทแล้วไม่ควรนิ่งเฉย เพราะอาการอาจรุนแรงขึ้นได้ โรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทเกิดจากสาเหตุใด? นอกจากจะพบในผู้สูงอายุ ซึ่งแน่นอนว่าเกิดจากความเสื่อมของร่างกายที่เป็นไปตามวัย ยังพบได้บ่อยที่สุดในผู้ที่มีพฤติกรรมการใช้งานหลังอย่างหนักหรือทำอิริยาบถที่ผิดท่าทางเป็นประจำ เช่น การยกของหนัก การนั่ง การยืน การเดิน การนอนที่ผิดท่าทาง อย่างการนั่งรถเป็นเวลานาน การนั่งทำงานด้วยท่าทางที่ไม่เหมาะสมนานๆ หรือนักกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหวหลังและเอวมากๆ เช่น นักกอล์ฟ เมื่อทำท่าทางเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจึงเป็นการสะสมความผิดปกติจากท่าทางต่างๆ จนเป็นโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทได้ในที่สุด ดังนั้น ท่าทางและอิริยาบถต่างๆ ที่เราทำเป็นประจำทุกวันจึงเป็นปัจจัยหลักที่มีส่วนทำให้เกิดโรคนี้ได้ จึงไม่ควรละเลยและควรให้ความสำคัญกับท่าทางและอิริยาบถนี้เป็นพิเศษ นอกจากนี้การไอหรือจามแรงๆ และอุบัติเหตุต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทได้เช่นกัน โรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทอาการเป็นอย่างไร? ต่างจากการปวดหลังทั่วไปอย่างไร? จะมีอาการปวดหลังบริเวณเอวแบบเป็นๆ หายๆ ซึ่งจะแตกต่างกับการปวดหลังทั่วไปตรงที่ปวดหลังทั่วไป หากกดตรงที่ปวดจะรู้สึกเจ็บ แต่ปวดหมอนรองกระดูกทับเส้นจะปวดลึกลงไปข้างใน เวลากดจึงไม่ค่อยเจ็บ และมักจะมีอาการปวดสะโพกร้าวลงขาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง และเมื่อเดินได้สักพักก็ปวดชาร้าวลงขาจนต้องหยุดเดินเพื่อพัก บางรายอาจมีอาการขาและเท้าชาและกล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเวลาไอหรือจามร่วมด้วย แต่ถ้าเป็นรุนแรงหรือรุนแรงมากจะมีอาการท้องผูก ปัสสาวะไม่ออก คุมการปัสสาวะ/อุจจาระไม่ได้ ไปจนถึงเดินลำบากตามลำดับ หากคุณมีอาการปวดหลังล่าง ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษา ว่าเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ อย่าปล่อยทิ้งไว้จนอาการรุนแรง และหากเป็นโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทระยะแรกหรือไม่รุนแรงก็ไม่ต้องกังวลไป.. กายภาพบำบัดสามารถช่วยคุณได้ เพียงแค่หมั่นทำกายภาพบำบัดอย่างการบริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้องอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรือการทำอัลตราซาวด์ รักษาด้วยเครื่องเลเซอร์กำลังสูง หรือคลื่นกระแทกประสิทธิภาพสูง” (Shockwave) ร่วมกับการปรับเปลี่ยนท่าทางและอิริยาบถให้ถูกต้องเหมาะสม ลดน้ำหนัก ใส่อุปกรณ์พยุงหลัง ไม่สะพายกระเป๋าหนัก และหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง ทั้งไม่ควรอยู่ในท่าทางใดท่าทางหนึ่งเป็นเวลานาน ควรหมั่นขยับและลุกเปลี่ยนท่าให้บ่อยอย่างน้อยทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อลดความตึงของร่างกายส่วนล่าง เพียงเท่านี้อาการปวดก็จะทุเลาและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำอีกและสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถาม/ทำนัดได้ที่ โทร. 098 8989 282 , 098 9796 906Line id : @dr.punsang (มี @ ด้วยค่ะ)หรือจิ้มลิ้งค์นี้ 👉 https://lin.ee/euZ5Y43
แนะนำการรักษาโรคกระดูก บรรเทาอาการให้ดีขึ้น
เชื่อว่าหลายคน กำลังประสบปัญหากับอาการทางกระดูกต่างๆ เนื่องจากการปวดตามกระดูก ข้อต่อ และส่วนอื่นที่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว จนบางทีก็แอบท้อแท้กันไปบ้าง ว่าจะหายจากอาการเหล่านี้ไหม แน่นอน เมื่อมีอาการปวด ก็มีวิธีการรักษากระดูกให้กลับมาดีขึ้นได้ เพียงแต่เราจะต้องทำความเข้าใจ และเรียนรู้การรักษาที่ถูกต้อง ก็จะทำให้ทุกอาการปวดกระดูกลดลง เรามาดูกันเลย กับคำแนะนำรักษาโรคกระดูก ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกระดูกก่อน ว่ามีอาการอะไรแบบไหน เพื่อจะได้หาแนวทางรักษากระดูกได้ โดยอาการปวดกระดูก มีทั้งปวดตรงกระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น การปวดกระดูกบ่อยๆ ส่งผลให้เกิดโรคกระดูกเรื้อรัง และการเสื่อมถอยของกระดูกด้วย แนวทางการรักษาโรคกระดูก ข้อ และกล้ามเนื้อ สำหรับใครที่กำลังเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกอยู่ มีอาการปวดตามกระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็นต่างๆ มาปรึกษาได้ ที่คลินิกกระดูกและข้อ หมอพันแสง และกายภาพบำบัด ที่นี่ เป็นคลินิกรักษาโรคกระดูกและข้อ โดยแพทย์เฉพาะทาง ด้านกระดูกและข้อ และมีบริการด้านกายภาพบำบัด โดยนักกายภาพบำบัดมืออาชีพ ทีมพยาบาลวิชาชีพ และยังมีเครื่องมือกายภาพ Radial Shockwave จากสวิสเซอร์แลนด์ และเครื่องเลเซอร์กำลังสูง จากประเทศอิตาลี พร้อมเครื่องเอกซ์เรย์ มาตรฐานโรงพยาบาล เพื่อตรวจเบื้องต้น และหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละคน จบปัญหาอาการของโรคกระดูก ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น สนใจติดต่อเลยที่